ในปัจจุบัน เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า (Bifacial Solar Panel) ซึ่งสามารถรับพลังงานจากแสงแดดได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าแผงโซล่าทั่วไป บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า วิธีการทำงาน และวิธีเลือกแผงที่เหมาะสมที่สุด
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า คืออะไร?
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า หรือ Bifacial Solar Panel คือแผงโซลาร์เซลล์ที่ออกแบบให้สามารถรับพลังงานแสงได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่างจากแผงโซล่าเซลล์แบบดั้งเดิมที่รับแสงได้เพียงด้านเดียว ด้านหลังของแผงจะสามารถรับแสงที่สะท้อนจากพื้นผิวด้านล่าง เช่น คอนกรีต กรวด หรือพื้นดินที่มีการสะท้อนแสงสูง ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานได้มากขึ้น

ข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า
1. ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น (เพิ่มกำลังการผลิต 5-30%)
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า สามารถผลิตพลังงานเพิ่มเติมจากแสงสะท้อนที่เข้ามาทางด้านหลังของแผง โดยปริมาณพลังงานที่ได้รับเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับพื้นผิวที่ติดตั้ง หากเป็นพื้นผิวสีขาวหรือวัสดุที่สะท้อนแสงได้ดี อาจเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 30%
2. ลดต้นทุนต่อหน่วยพลังงาน (LCOE) ได้มากขึ้น
แม้ว่าแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้าอาจมีต้นทุนสูงกว่ารุ่นปกติ แต่เมื่อคำนวณต้นทุนต่อหน่วยพลังงานที่ผลิตได้ (Levelized Cost of Electricity – LCOE) จะพบว่าคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เนื่องจากสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่ติดตั้งเท่าเดิม
3. อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้าส่วนใหญ่มาพร้อมกับการออกแบบที่ใช้กระจกสองชั้น (Dual Glass Design) ทำให้มีความทนทานสูงขึ้น ป้องกันการแตกร้าวและการเสื่อมสภาพจากสภาพแวดล้อม อายุการใช้งานจึงยาวนานกว่าแผงแบบทั่วไป (มากกว่า 25 ปี)
4. ประสิทธิภาพสูงขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ร้อน
แผง Bifacial มีค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิที่ต่ำกว่าแผงทั่วไป ทำให้เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ประสิทธิภาพของแผงลดลงน้อยกว่า ส่งผลให้ได้พลังงานที่เสถียรมากขึ้น
ข้อเสียของแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า
1. ราคาสูงกว่าแผงโซล่าทั่วไป
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าแผงโซล่าเซลล์แบบด้านเดียว ทำให้ราคาต่อตารางเมตรสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณจากพลังงานที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น ต้นทุนต่อหน่วยพลังงานก็ยังคุ้มค่าในระยะยาว
2. ต้องใช้โครงสร้างติดตั้งที่เหมาะสม
การติดตั้งแผง Bifacial ต้องออกแบบให้สามารถรับแสงสะท้อนได้ดี เช่น การยกแผงสูงจากพื้น หรือการใช้โครงสร้างที่มีความโปร่งแสงเพื่อลดเงาบังด้านหลัง
3. ประสิทธิภาพด้านหลังขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิว
แผง Bifacial จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อใช้กับพื้นผิวที่สะท้อนแสงได้ดี เช่น คอนกรีตสีขาว หินกรวด หรือวัสดุสะท้อนแสง หากติดตั้งบนพื้นหญ้าหรือดินสีเข้ม อาจได้รับพลังงานจากด้านหลังน้อยลง
วิธีเลือกแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า
1. เลือกจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า มีให้เลือกจากหลายแบรนด์ชั้นนำ เช่น:
- Jinko Solar (รุ่น Tiger Neo Bifacial)
- LONGi Solar (รุ่น Hi-MO5 Bifacial)
- Trina Solar (รุ่น Vertex Bifacial)
- Canadian Solar (รุ่น BiHiKu)
2. ตรวจสอบค่าประสิทธิภาพของแผง
เลือกแผงที่มี Bifacial Gain สูง (ความสามารถในการรับแสงด้านหลัง) โดยทั่วไปควรอยู่ที่ 5-30%
3. ตรวจสอบการรับประกัน
เลือกแผงที่มีการรับประกันยาวนาน (25-30 ปี) และมีเงื่อนไขรับประกันที่ครอบคลุมความเสียหายจากปัจจัยแวดล้อม
4. เลือกโครงสร้างติดตั้งที่เหมาะสม
- ใช้โครงสร้างที่เปิดโล่งใต้แผง เพื่อให้แสงสามารถสะท้อนเข้าสู่ด้านหลังของแผงได้มากขึ้น
- หากเป็นระบบติดตั้งบนพื้นดิน (Ground-Mounted) ควรเลือกพื้นที่ที่มีพื้นผิวสะท้อนแสงสูง เช่น หินกรวดขาว
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า เหมาะกับใคร?
- โรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานระยะยาว
- โซลาร์ฟาร์มที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
- บ้านเรือนที่มีพื้นที่จำกัด และต้องการผลิตพลังงานให้ได้มากที่สุด
- โครงการที่ใช้พื้นผิวสะท้อนแสงสูง เช่น หลังคาเมทัลชีทสีขาว หรือพื้นคอนกรีต
สรุป
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า (Bifacial Solar Panel) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีราคาสูงกว่าแผงทั่วไป แต่เมื่อนำมาคำนวณต้นทุนต่อหน่วยพลังงานแล้ว ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดค่าไฟระยะยาวหรือโซลาร์ฟาร์มที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า หากคุณกำลังพิจารณาติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ การเลือกใช้แผง Bifacial อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต