ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ อินเวอร์เตอร์มีบทบาทสำคัญในการแปลงพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่ผลิตจากแผงโซลาร์เซลล์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ซึ่งสามารถใช้งานในบ้านเรือนหรือเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าได้ ปัจจุบันอินเวอร์เตอร์ที่นิยมใช้งานแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ ไมโครอินเวอร์เตอร์ (Microinverter) และ สตริงอินเวอร์เตอร์ (String Inverter) ซึ่งแต่ละแบบมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน
ไมโครอินเวอร์เตอร์ (Microinverter)
ไมโครอินเวอร์เตอร์ติดตั้งอยู่ด้านหลังแผงโซลาร์เซลล์แต่ละแผง ทำให้แปลงพลังงานและควบคุมการทำงานของแต่ละแผงได้อย่างอิสระ
ข้อดีของไมโครอินเวอร์เตอร์
- ประสิทธิภาพสูง:
หากแผงใดแผงหนึ่งเกิดปัญหา เช่น เงาบังหรือสกปรก จะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของแผงอื่น - ความปลอดภัยสูง:
ใช้แรงดันไฟฟ้ากระแสตรงต่ำ (<60V) ลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าช็อตหรือไฟไหม้ - การตรวจสอบ:
รองรับการตรวจสอบและควบคุมการทำงานของแผงโซลาร์เซลล์แต่ละแผงแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน - การขยายระบบ:
สามารถเพิ่มจำนวนแผงได้ง่ายในภายหลังโดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบเดิม
ข้อเสียของไมโครอินเวอร์เตอร์
- มีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับสตริงอินเวอร์เตอร์
- การบำรุงรักษาอาจยุ่งยากหากต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซม เพราะต้องเข้าถึงตัวอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนหลังคา
สตริงอินเวอร์เตอร์ (String Inverter)
สตริงอินเวอร์เตอร์ติดตั้งในตำแหน่งเดียว เช่น ผนังบ้าน หรือห้องควบคุม โดยจะเชื่อมต่อแผงโซลาร์เซลล์หลายแผงเข้าด้วยกันในรูปแบบ “สตริง”
ข้อดีของสตริงอินเวอร์เตอร์
- ราคาประหยัด:
มีราคาถูกกว่าไมโครอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับระบบขนาดใหญ่ที่ต้องการควบคุมงบประมาณ - การบำรุงรักษาง่าย:
ติดตั้งในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย ทำให้สะดวกต่อการตรวจสอบและซ่อมแซม
ข้อเสียของสตริงอินเวอร์เตอร์
- หากแผงใดในสตริงมีปัญหา เช่น เงาบังหรือเสียหาย จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของแผงอื่นในสตริง
- การขยายระบบอาจทำได้ยากหากแผงใหม่ไม่เข้ากับคุณสมบัติของระบบเดิม
สรุป: เลือกแบบไหนดี?
- ไมโครอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง ประสิทธิภาพที่ดีในทุกสภาวะ และรองรับการตรวจสอบแบบรายแผง เหมาะสำหรับบ้านเรือนที่มีพื้นที่ติดตั้งซับซ้อน หรือมีเงาบังบางส่วน
- สตริงอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับระบบขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณจำกัด และพื้นที่ติดตั้งที่เปิดโล่ง ไม่มีเงาบัง