Modbus Protocol

Modbus: โปรโตคอลการสื่อสารในระบบอุตสาหกรรม


Modbus คืออะไร?

Modbus เป็นโปรโตคอลการสื่อสารแบบเปิด (Open Protocol) ที่ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1979 โดยบริษัท Modicon (ปัจจุบันคือ Schneider Electric) เพื่อนำมาใช้ในระบบ PLC (Programmable Logic Controller) และระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรม ด้วยความเรียบง่ายและประสิทธิภาพสูง Modbus จึงกลายเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ในระบบควบคุมเครื่องจักร ระบบพลังงาน และอุปกรณ์ Internet of Things (IoT)


ทำไมต้องใช้ Modbus?

Modbus ได้รับความนิยมเพราะมีข้อดีหลายประการ ได้แก่:

  • มาตรฐานเปิด: ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ทำให้สามารถใช้งานได้โดยไม่มีข้อจำกัด
  • รองรับอุปกรณ์หลายประเภท: ใช้ได้กับ PLC, เซ็นเซอร์, ตัวควบคุม, อินเวอร์เตอร์ ฯลฯ
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากได้พร้อมกัน: รองรับอุปกรณ์หลายตัวในเครือข่ายเดียว
  • ทำงานได้ทั้งแบบอนุกรม (Serial) และเครือข่ายอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
Modbus Protocol

โครงสร้างและการทำงานของ Modbus

Modbus ใช้รูปแบบการสื่อสารแบบ Client-Server (เดิมเรียกว่า Master-Slave) โดยที่

  • Client (Master): เป็นตัวที่ส่งคำสั่ง เช่น PLC หรือ SCADA System
  • Server (Slave): เป็นตัวที่ตอบสนอง เช่น เซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ควบคุม

Client สามารถควบคุมและร้องขอข้อมูลจาก Server ผ่านคำสั่งที่กำหนด เช่น การอ่านค่าเซ็นเซอร์หรือการส่งคำสั่งไปควบคุมมอเตอร์


ประเภทของ Modbus

Modbus มีหลายเวอร์ชันที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน

1. Modbus RTU (Remote Terminal Unit)

  • ใช้การสื่อสารแบบ RS-232 หรือ RS-485
  • ใช้การส่งข้อมูลแบบไบนารี ทำให้มีความเร็วและประสิทธิภาพสูง
  • นิยมใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรม เช่น SCADA และระบบควบคุมเครื่องจักร

2. Modbus ASCII

  • ใช้การสื่อสารแบบ RS-232 หรือ RS-485 เช่นเดียวกับ RTU
  • ใช้การส่งข้อมูลแบบ ASCII ทำให้อ่านค่าได้ง่ายกว่าระบบไบนารี
  • มีประสิทธิภาพต่ำกว่า Modbus RTU เนื่องจากใช้ข้อมูลมากกว่า

3. Modbus TCP/IP

  • ใช้การสื่อสารผ่าน เครือข่าย Ethernet
  • รองรับการเชื่อมต่อแบบ IP Address ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบ IT และ IoT ได้
  • นิยมใช้ในระบบที่ต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากในเครือข่ายเดียว

โครงสร้างของข้อมูล Modbus

Modbus มีรูปแบบแพ็กเกจข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย:

  1. Address Field: กำหนดหมายเลขของอุปกรณ์ (Slave ID)
  2. Function Code: กำหนดประเภทของคำสั่งที่ส่งไป เช่น อ่านค่าหรือเขียนค่า
  3. Data Field: ข้อมูลที่ส่งไปหรือรับมา
  4. CRC (Cyclic Redundancy Check): ใช้สำหรับตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

การนำ Modbus ไปใช้งาน

Modbus ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น

  1. ระบบควบคุมอัตโนมัติ (Industrial Automation)
    • ใช้ใน PLC เพื่อควบคุมเซ็นเซอร์, มอเตอร์, และอุปกรณ์ไฟฟ้า
    • ใช้ใน SCADA Systems เพื่อรับ-ส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ที่อยู่ในโรงงาน
  2. ระบบพลังงาน (Energy Management)
    • ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Smart Meter หรือระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ
    • ใช้ในระบบควบคุมพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
  3. ระบบอาคารอัจฉริยะ (Building Automation)
    • ใช้ในการควบคุมระบบปรับอากาศ, ระบบแสงสว่าง และเซ็นเซอร์ในอาคาร
  4. อุตสาหกรรม IoT และ Smart City
    • Modbus TCP/IP ใช้ในอุปกรณ์ IoT ที่ต้องการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ข้อดีและข้อเสียของ Modbus

ข้อดี

ใช้งานง่ายและเรียนรู้ได้เร็ว
รองรับอุปกรณ์ได้หลากหลาย
มีทั้งแบบอนุกรม (RS-485) และ Ethernet (TCP/IP)
รองรับการสื่อสารกับอุปกรณ์หลายตัวในเครือข่ายเดียวกัน

ข้อเสีย

ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล (ไม่ปลอดภัยเท่ากับโปรโตคอลสมัยใหม่ เช่น MQTT)
การส่งข้อมูลช้าเมื่อเทียบกับโปรโตคอลอื่นๆ ในระบบ IT
อุปกรณ์บางตัวอาจมีเวอร์ชัน Modbus ที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องตั้งค่าให้ตรงกัน


เปรียบเทียบ Modbus กับโปรโตคอลอื่นๆ

โปรโตคอลความเร็วการเข้ารหัสข้อมูลเหมาะสำหรับ
Modbus RTUปานกลางไม่มีระบบอุตสาหกรรม, SCADA
Modbus TCP/IPสูงไม่มีระบบ IoT, Smart City
PROFINETสูงมากมีระบบอุตสาหกรรมขั้นสูง
MQTTปานกลางมีIoT, Cloud Computing

สรุป

Modbus เป็นหนึ่งในโปรโตคอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระบบอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความเรียบง่าย ต้นทุนต่ำ และรองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท แม้จะไม่มีระบบความปลอดภัยในตัว แต่ก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในระบบอัตโนมัติและ IoT