ปัจจุบัน แผงโซล่าเซลล์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งในภาคครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรม หรือโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดมีตัวเลือกมากมายจากหลากหลายแบรนด์ ซึ่งแต่ละแบรนด์มีข้อดีและจุดเด่นแตกต่างกันไป ดังนั้น การเลือกซื้อแผงโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจประเภทของแผงโซล่าเซลล์ ยี่ห้อที่วางขายในประเทศไทย พร้อมข้อมูลจำเพาะ ราคา และแนวโน้มเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกซื้อแผงที่ดีที่สุดสำหรับบ้านหรือธุรกิจของคุณ
ประเภทของแผงโซล่าเซลล์
แผงโซล่าเซลล์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้:
- Monocrystalline (โมโนคริสตัลไลน์)
- ผลิตจากผลึกซิลิคอนเดี่ยว มีสีดำเข้ม
- ประสิทธิภาพสูงสุด (15-22%)
- ใช้พื้นที่ติดตั้งน้อยกว่าแผงชนิดอื่น
- อายุการใช้งานยาวนานกว่า 25 ปี
- Polycrystalline (โพลีคริสตัลไลน์)
- ผลิตจากผลึกซิลิคอนหลายชิ้นหลอมรวมกัน มีสีฟ้า
- ประสิทธิภาพรองจากโมโนคริสตัลไลน์ (13-18%)
- ราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ใช้พื้นที่มากกว่า
- Thin-Film (ฟิล์มบาง)
- ทำจากวัสดุหลากหลาย เช่น CdTe, CIGS หรืออะมอร์ฟัสซิลิคอน
- น้ำหนักเบาและบางที่สุด สามารถโค้งงอได้ในบางกรณี
- ประสิทธิภาพต่ำกว่าประเภทอื่น (~7-14%)
- เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ หรือแผงโซล่าร์ติดตั้งบนกระจก

แผงโซล่าเซลล์ Tier 1 คืออะไร?
แผงโซล่าเซลล์ที่จัดอยู่ในระดับ Tier 1 หมายถึงแผงที่ผลิตโดยบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูงในระดับสากล ซึ่งได้รับการรับรองจาก Bloomberg New Energy Finance (BNEF) การจัดอันดับนี้พิจารณาจากความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ความสามารถในการผลิตปริมาณมาก และมีประวัติการจัดจำหน่ายที่ยาวนาน
ข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ Tier 1:
- ผลิตจากบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก
- มีมาตรฐานการผลิตสูง และใช้วัสดุคุณภาพดี
- รับประกันประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้ายาวนาน (มากกว่า 25 ปี)
- มีโอกาสเคลมประกันและได้รับบริการหลังการขายที่ดีขึ้น
แบรนด์ที่มักได้รับการจัดอันดับเป็น Tier 1 ได้แก่ Jinko Solar, LONGi Solar, Trina Solar, Canadian Solar, JA Solar เป็นต้น
แผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า (Bifacial Solar Panel)
แผงโซล่าเซลล์แบบ สองหน้า (Bifacial) คือแผงที่สามารถรับแสงแดดได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยด้านหลังสามารถเก็บพลังงานที่สะท้อนมาจากพื้นผิว ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าแผงโซล่าทั่วไป
ข้อดีของแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า:
- เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ 5-30% ขึ้นอยู่กับประเภทพื้นผิวที่สะท้อนแสง
- ลดต้นทุนต่อหน่วยพลังงาน (LCOE) ได้มากขึ้น
- มีความทนทานสูงเพราะใช้กระจกสองชั้นช่วยป้องกันแผงจากสภาพแวดล้อม
ข้อเสีย:
- ต้องมีการออกแบบระบบติดตั้งให้สามารถรับแสงสะท้อนจากพื้นหลังได้
- ราคาสูงกว่าแผงโซล่าทั่วไปเล็กน้อย
แบรนด์ที่ผลิตแผงโซล่าเซลล์ 2 หน้า ได้แก่:
- Jinko Solar (รุ่น Tiger Neo Bifacial)
- LONGi Solar (รุ่น Hi-MO5 Bifacial)
- Trina Solar (รุ่น Vertex Bifacial)
- Canadian Solar (รุ่น BiHiKu)
ยี่ห้อแผงโซล่าเซลล์ที่นิยมในประเทศไทย
1. Jinko Solar
- ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก มียอดขายสูงสุดในหลายปี
- รุ่นยอดนิยม: Tiger Neo (N-Type TOPCon)
- ประสิทธิภาพสูง (~21-22%)
- ราคาคุ้มค่า เหมาะสำหรับบ้านและโรงงาน
- รับประกันประสิทธิภาพ 25-30 ปี
2. LONGi Solar
- ผู้นำด้านเทคโนโลยีโมโนคริสตัลไลน์
- รุ่นยอดนิยม: Hi-MO6 (HPBC)
- ประสิทธิภาพเซลล์สูงกว่า 25%
- ความเสถียรสูง อายุการใช้งานยาวนาน
3. Trina Solar
- แบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้าน Multi-Busbar และ Bifacial
- รุ่นยอดนิยม: Vertex N (N-Type i-TOPCon)
- เหมาะกับโรงงานขนาดกลางถึงใหญ่
4. Canadian Solar
- แบรนด์คุณภาพจากแคนาดา มีความน่าเชื่อถือสูง
- รุ่นยอดนิยม: HiKu / BiHiKu
- รองรับเทคโนโลยี N-Type และ Bifacial
- มีโซลูชันแบตเตอรี่พ่วงสำหรับระบบกักเก็บพลังงาน
5. JA Solar
- ผู้ผลิตแผงระดับ Tier 1 ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
- รุ่นยอดนิยม: DeepBlue 4.0 Pro (N-Type Bycium+)
- ใช้เทคโนโลยีเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูง
สรุป
การเลือกซื้อแผงโซล่าเซลล์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับ งบประมาณ, ประสิทธิภาพ, และความต้องการของคุณ หากต้องการแผงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด LONGi และ Jinko เป็นตัวเลือกที่ดี หากต้องการแผงราคาประหยัด JA Solar และ Canadian Solar ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
หากคุณต้องการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อป ควรเลือกบริษัทติดตั้งที่มีมาตรฐาน และศึกษาราคาหลายๆ เจ้าเพื่อให้ได้ระบบที่คุ้มค่าที่สุด