อัพเกรดระบบโซล่าเซลล์จากออนกริด (On-Grid) ไปเป็น ไฮบริด (Hybrid) มีแบตเตอรี่แบ็คอัพ

เปลี่ยนโซล่าเซลล์อินเวอร์เตอร์จาก Huawei ไปเป็น Deye

ช่วงหลังมานี้ผู้ใช้งานระบบพลังงานแสงอาทิตย์หลายคนเริ่มนิยม อัพเกรดระบบจากออนกริด (On-Grid) ไปเป็น ไฮบริด (Hybrid) ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการใช้งาน ความยืดหยุ่น และความปลอดภัยของระบบพลังงานในระยะยาว ดังนี้:


1. ความต้องการพลังงานสำรอง (Backup Power)

  • ระบบ ออนกริด พึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าหลัก (Grid) เป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเกิดไฟดับ ระบบจะไม่สามารถใช้งานได้ แม้ว่าแผงโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าอยู่ก็ตาม (เพื่อป้องกันไฟย้อนกลับเข้าสู่โครงข่ายที่อาจเป็นอันตรายต่อช่างไฟฟ้า)
  • การอัพเกรดเป็น ไฮบริด ซึ่งมีแบตเตอรี่สำรอง ช่วยให้ผู้ใช้งานมีไฟฟ้าใช้งานในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟดับหรือภัยพิบัติ โดยแบตเตอรี่จะเก็บพลังงานไว้ใช้งานในช่วงที่ไฟฟ้าจากโครงข่ายไม่เพียงพอ

2. ลดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น

  • ระบบออนกริดช่วยลดค่าไฟฟ้าในช่วงกลางวัน (เมื่อแสงอาทิตย์เพียงพอ) แต่ยังต้องดึงไฟจากโครงข่ายในช่วงกลางคืนหรือเมื่อแสงแดดไม่เพียงพอ
  • ระบบไฮบริดสามารถเก็บพลังงานส่วนเกินในแบตเตอรี่เพื่อนำมาใช้ในช่วงกลางคืนหรือช่วงที่ค่าไฟแพง (เช่น เวลาที่ไฟฟ้ามีอัตราค่าไฟสูง) ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า

3. ความไม่แน่นอนของนโยบายขายไฟคืน

  • ในระบบออนกริด ผู้ใช้งานสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าได้ (Net Metering) แต่ปัจจุบันหลายพื้นที่มีการเปลี่ยนนโยบาย เช่น การลดราคาซื้อไฟคืน หรือข้อจำกัดในการขายไฟคืน
  • การอัพเกรดเป็นระบบไฮบริดช่วยให้พลังงานส่วนเกินถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่แทนที่จะต้องพึ่งพาการขายคืนไฟฟ้า ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้พลังงานที่ผลิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

4. ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น

  • ค่าไฟฟ้าจากโครงข่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ผู้ใช้งานจึงต้องการระบบที่ช่วยลดการพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้า
  • ระบบไฮบริดช่วยให้ผู้ใช้งานใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าจาก Grid มากนัก

5. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่

  • ปัจจุบันเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เช่น ลิเธียมไอออน (Lithium-ion) มีความจุสูงขึ้น ราคาลดลง และอายุการใช้งานยาวนานขึ้น (8-15 ปี) ทำให้ระบบไฮบริดมีความคุ้มค่ามากขึ้น
  • แบตเตอรี่ที่ทันสมัยยังมีระบบจัดการพลังงาน (BMS) ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของระบบ

6. ความต้องการลดการพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้า

  • ผู้ใช้งานบางกลุ่มต้องการเพิ่มความอิสระด้านพลังงาน (Energy Independence) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของโครงข่ายไฟฟ้าหรือค่าไฟ
  • ระบบไฮบริดช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถผลิตและเก็บพลังงานไว้ใช้เองได้อย่างยั่งยืน

7. ความคุ้มค่าในระยะยาว

  • แม้ว่าการอัพเกรดเป็นระบบไฮบริดจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงขึ้น (เช่น ค่าแบตเตอรี่และอินเวอร์เตอร์แบบไฮบริด) แต่ช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาวได้มากขึ้น ทำให้การลงทุนคุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อค่าไฟเพิ่มขึ้นทุกปี

8. การสนับสนุนจากภาครัฐ

  • บางพื้นที่มีนโยบายส่งเสริมการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีแบตเตอรี่สำรอง เช่น การให้เงินสนับสนุนหรือสิทธิพิเศษทางภาษี
  • การเปลี่ยนเป็นระบบไฮบริดช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์เหล่านี้ได้

สรุป

การอัพเกรดจาก ออนกริด (On-Grid) ไปเป็น ไฮบริด (Hybrid) กำลังได้รับความนิยม เนื่องจากตอบโจทย์เรื่องความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในระยะยาว ระบบไฮบริดเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าไฟ เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน และใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน.